หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

ความเป็นมาและความสามารถของโปรแกรม Sony Vegas

ความเป็นมาของโปรแกรม Sony VegasSony Vegas เป็นโปรแกรมการตัดต่อที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากการใช้งานที่ง่ายและไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก ฟังก์ชั่นพิเศษมากมายที่มีในตัวโปรแกรม ทำให้ผู้ใช้สนุกสนานและตื่นตาตื่นใจไปกับงานตัดต่อ และสามารถสร้างสรรค์งานตัดต่อได้อย่างมืออาชีพ Sony Vegas คือโปรแกรมที่ถูกพัฒนามาเพื่องานตัดต่อภาพยนตร์ และเสียง โดยในหนึ่งโปรแกรมนี้รองรับและสนับสนุนไฟล์รูปแบบไฟล์ จึงสามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ได้อย่างมากมาย และโปรแกรมให้ผลงานที่มีระดับสูงได้ เช่น วีดีโอระดับ Full HD หรือ เสียงระดับ HQ VBR Studio Audio ได

ความสามารถของ Sony VegasSony Vegas คือโปรแกรมที่ถูกพัฒนามาเพื่องานตัดต่อภาพยนตร์ และเสียง โดยในหนึ่งโปรแกรมนี้รองรับและสนับสนุนไฟล์รูปแบบไฟล์ จึงสามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ได้อย่างมากมาย และโปรแกรมให้ผลงานที่มีระดับสูงได้ เช่น วีดีโอระดับ Full HD หรือ เสียงระดับ HQ VBR Studio Audio ได้

        - ตัดต่อภาพยนตร์ หรือ สร้างวีดีโอจากภาพนิ่ง
        - ตัดต่อเสียง หรือ แต่งเสียงเพลง ดนตรี
        - มีเอฟเฟ็กต์ ให้เลือกใช้มากมาย
        - มีฟังก์ชั่นให้เลือกอย่างมากมาย เช่น การปรับโทนสี ปรับโทนเสียง สร้างภาพเก่าๆ เป็นต้น
        - รองรับการทำงานแบบ Layer สามารถซ้อนภาพและเสียงได้อย่างไม่จำกัด
        - สร้างเสียงแบบระบบ 5.1 ได้
        - โปรแกรมใช้งานได้รวดเร็ว ไม่กระตุก แม้สเปกคอมช้า
        - สนับสนุนรูปแบบสื่อได้หลากหลาย เช่น VCD, SVCD, DVD, และสื่อวีดีโอสำหรับแสดงผลบนเว็บไซต์
        - รองรับรูปแบบไฟล์อย่างหลากหลาย เช่น JPG, PSD, AVI, MOV  และอื่นๆ อีกมากมาย

องค์ประกอบหน้าตาโปรแกรม

องค์ประกอบหน้าตาโปรแกรม


    1. Menu Bar คือ แถบเมนูสำหรับรวบรวมคำสั่งที่ใช้ในโปรแกรม
    2. Tool Bar คือ แถบเครื่องมือที่ใช้ในการทำงานบ่อยๆ เช่น New ,  Open , Save , Cut , Copy เป็นต้น
    3. Support Windows คือ หน้าต่างที่ใช้สำหรับรวบรวมฟังก์ชั่นต่างๆ ของโปรแกรม รวมถึง การเข้าถึงไฟล์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
    4. Time line คือ ส่วนที่แสดงผลระยะเวลาในการทำงานของ Cursor
    5. Layer คือ ส่วนที่ใช้สำหรับ ซ้อนวีดีโอ เสียง หรือวัตถุอื่นๆ โดยแยกเป็นชั้นๆ ไป
    6. Preview Windows คือ หน้าต่างสำหรับแสดงผลวีดีโอที่เรากำลังดำเนินการตัดต่อ
    7. Mixer คือ ส่วนที่ใช้สำหรับปรับระดับเสียงให้กับงาน
    8. Control Bar คือ ส่วนที่ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของโปรเจค เช่น เล่น หยุด พัก หรือ บันทึก เป็นต้น
    9. Status Bar คือ แถบแสดงข้อมูลว่าเราสามารถเก็บข้อมูลได้อีกกี่นาที ในเครื่องของเรา

ส่วนประกอบของโปรแกรม

เอาล่ะ เมื่อเปิดโปรแกรม Sony Vegas Pro ขึ้นมาแล้วจะเป็นหน้าตาดังนี้ (ของผม Sony Vegas Pro 11 นะครับ) คิดว่าหน้าตาของโปรแกรม Sony Vegas Pro แต่ล่ะ version หน้าตาจะไม่ต่างกันมากนัก




ส่วนแรกคือ ส่วนที่เรียกว่า เมนูบาร์ และทูลบาร์(รูปที่ 2 ) ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นในการตัดต่อวีดีโอ



ส่วนที่สองคือ Window docking area เป็นส่วนที่ประกอบไปด้วยหน้าต่าง Preview และหน้าต่างย่อยที่ช่วยให้เราสามารถต้ดต่อวีดีโอได้สะดวกยิ่งขึ้น



ส่วนที่สามคือ Timeline และ Tracklist(รูปที่ 4) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับตัดต่อคลิปวีดีโอ คลิปเสียง และใส่เอฟเฟคต่างๆ เราจะทำงานที่ส่วนนี้เป็นส่วนใหญ่กันนะครับ



เมื่อรู้จักส่วนต่างๆ ของโปรแกรมกันไปแล้ว เรามาดูว่า เครื่องไม้เครื่องมือแต่ละอย่างคืออะไร



ส่วนของเมนูบาร์ (File, Edit, View, Inset, Option, Help) จะเป็นส่วนสำหรับใช้คำสั่งต่างๆนะครับ (ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าหาปุ่มในทูลบาร์ไม่เจอจริงๆ จึงจะหาในเมนูบาร์)
ส่วนของทูลบาร์(ด้านล่างของเมนูบาร์) จะประกอบไปด้วยปุ่มต่างๆดังนี้ (ไล่จากซ้ายไปขวานะครับ)

ปุ่มที่ 1 (ที่เป็นรูปกระดาษพับตรงมุม) จะเป็นปุ่ม New ใช้สำหรับสร้างโปรเจ็กงานใหม่
ปุ่มที่ 2 (เป็นรูปโฟลเดอร์) จะเป็นปุ่ม Open ใช้หรับเปิดโปรเจ็กที่มีอยู่แล้วมาทำงาน
ปุ่มที่ 3 (เป็นรูปแผ่นดิสก์เกต) จะเป็นปุ่ม Save ใช้สำหรับบันทึกชิ้นงานที่เรากำลังสร้าง (หรือจะกดปุ่มลัดคือ Ctrl+s ก็ได้ครับ) บันทึกเรื่อยๆ หากไฟดับมาจะได้ไม่ต้องร้อง "โอ้ยยยยยยย"
ปุ่มที่ 4 (เป็นรูปแผ่นดิสก์เกตอะไรเอ่ย) จะเป็นปุ่ม Save as name ใช้สำหรับบันทึกชิ้นงานให้เป็นชื่ออื่น (มีไว้ทำไมรู้ไหมครับ มีไว้เพื่อที่เราจะได้ลองผิด ลองถูก เช่น ชิ้นงานของเราได้เสร็จสิ้นไปแล้ว เราทำการเซฟไว้เรียบร้อยแล้ว แต่อยากจะตกแต่งคลิปของเราสักหน่อย แต่กลัวตกแต่งแล้วพลาดเกินที่จะแก้ไขใหม่ได้ เราก็ยังจะสามารถเปิดไฟล์เดิม(ชิ้นงานที่เราเสร็จแล้ว) มาแก้ไขใหม่ได้เรื่อยๆ แต่หากเราไปเซฟทับชิ้นงานที่เสร็จแล้ว เราไปตกแต่งเกินที่จะแก้ไขได้ สุดท้ายก็ต้องมานั่งทำชิ้นงานใหม่ทั้งหมดครับ)
ปุ่มที่ 5 (เป็นรูปฟิล์มตั้งมีรูปคลื่นด้านล่างสีเขียวๆน่ะ เห็นไหม) เป็นปุ่ม Render นะครับ มันคืออะไร เอาไว้ทำไมน่ะเหรอ คือ เมื่อเราทำการติดต่อชิ้นงานเสร็จเรียบร้อยแล้วกระบวนการสุดท้ายคือการนำชิ้นงานออกมาเผยแพร่เป็นไฟล์วีดีโอ ปุ่มนี้แหล่ะ เอาไว้ประมวลผลชิ้นงานหลังตัดต่อวีดีโอเสร็จครับ
ปุ่มที่ 6 (เป็นปุ่มที่มีรูปเมาส์วางอยู่บนพื้นที่สีขาวๆน่ะเห็นไหม เห็นไหม) เป็นปุ่มที่ใช้เปิดคุณสมบัติของโปรเจ็ค (Properties Project) เช่น video ก็จะบอกว่า ใช้ templet อะไร ขนาดเท่าไหร่ audio ก็จะเป็น stereo หรือ mono ประมาณนั้น
ปุ่มที่ 7 (รูปกรรไกร) เป็นปุ่ม Cut ที่ใช้ลบคลิปที่ไม่ต้องการออกจาก Timeline
ปุ่มที่ 8 (รูปกระดาษสองแผ่น) เป็นปุ่ม Copy ใช้คัดลอกคลิปที่อยู่บน Timeline
ปุ่มที่ 9 (รูปคลิปบอร์ด) เป็น Paste ใช้วางคลิปที่คัดลอกมาแล้วบน Timeline
ปุ่มที่ 10 และ 11 (ลูกศรโค้งๆชี้ด้านซ้ายและขวา) เป็น Undo และ Redo
ปุ่มที่ 12 (รูปลูกศร มีแม่เหล็ก) เป็นปุ่ม Enable snapping เมื่อกดปุ่มนี้แล้ว  นำคลิปสองคลิปมาใกล้กัน คลิปสองชิ้นจะดุดติดกันเป็นลักษณะ Crossfades
ปุ่มที่ 13 (รูปแหลมๆ สองแหลม อะไรก็ไม่รู้) เป็นปุ่ม Enable automatic crossfades เมื่อกดปุ่มนี้แล้ว เมื่อนำคลิปสองคลิปมาวางเกยทับ จะเกิดภาพจางซ้อนกันเป็น crossfades
ปุ่มที่ 14 ปุ่ม Enable automatic ripple editing เมื่อกดปุ่มนี้ เมื่อลบคลิปตรงกลาง ส่วนคลิปที่เหลือจะดูดติดสนิทกัน
ปุ่มที่ 15 (รูปแม่กุญแจล็อกจุดสามจุด) ปุ่ม Lock envelopes to events เมื่อกดปุ่มนี้ จะทำให้ค่าต่างๆที่ตั้งไว้กับคลิป จะเคลื่อนตามคลิปไปด้วยเมื่อมีการย้ายคลิป
ปุ่มที่ 16 (รูปแม่กุญแจปลดล็อก) ปุ่ม Ignore event grouping เมื่อกดปุ่มนี้ เมื่อมีการเคลื่อนย้าย ภาพและเสียงจะแยกอิสระกัน
ปุ่มที่ 17 (รูปตัวไอมีคลื่น) ปุ่ม Normal Edit Tool เป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับเลือกทำงานกับคลิปทั่วๆไป
ปุ่มที่ 18 (รูปจุดสามจุด) Envelope edit tool กดปุ่มนี้ เพื่อตั้งค่าคลิปต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
ปุ่มที่ 19 (ปุ่มลูกศร) Select edit tool ใช้สำหรับเลือกคลิปหลายๆคลิปพร้อมกัน
ปุ่มที่ 20 (แว่นขยาย) เอาไว้ซูมครับ
ปุ่มที่ 21 (มือชี้) เป็นเครื่องมือช่วยอธิบายโปรแกรม โดยมีการตอบโต้กับผู้ใช้งานด้วย
ปุ่มที่ 22 เป็นปุ่ม Help ครับ

การนำไฟล์เข้ามาตัดต่อ

การนำไฟล์เข้ามาตัดต่อใน Sony Vegas
          วันนี้ผมจะกล่าวถึงการนำไฟล์วีดีโอเข้ามาใช้สำหรับตัดต่อในโปรแกรม โดยจะเขียนอย่างย่อๆนะครับ โดยจะเน้นไปในเรื่องของกล้อง Digital เป็นหลัก (ส่วนกล้อง DV ที่เป็นม้วนเทป หากมี Request มาจึงจะเขียน หาไม่มีมาก็ไม่เขียนครับ) ทำไมจึงกล้อง Digital เป็นหลัก เพราะอะไร เพราะการนำไฟล์ออกมาใช้งานมันสุดแสนจะง่ายใงครับ เพราะกล้องพวกนี้จะมีสายเชื่อมต่อ USB อยู่กันหมดทุกรุ่นแล้ว ดังนั้น เพียงแค่นำไฟล์วีดีโอออกจากกล้องวีดีโอ แล้วนำมาใส่ในโปรแกรม เท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ (ผมต้องบอกเกี่ยวกับ การนำไฟล์ออกจากกล้องวีดีโอด้วยไหมครับ หากใครไม่รู้วิธีนำไฟล์วีดีโอออกจากกล้องวีดีโอด้วยสาย USB จริงๆ ก็เรียกร้องมาได้ครับ เดี๋ยวผมจะมาเขียนวิธีให้อ่านกัน หรือหากใครไม่รู้จริงๆ แล้วหาวิธีได้แล้ว ก็แจ้งมาด้วยก็ได้ครับ เพราะถ้าจะมามัวรอให้ผมเขียนนี้ ท่านคงไปได้วิธีเอาไฟล์ออกจากกล้องเรียบร้อยแล้ว)

           เมื่อท่านนำไฟล์ออกมาจากกล้องวีดีโอเรียบร้อยแล้ว ไฟล์ในกล้องวีดีโอส่วนใหญ่จะเป็น นามสกุล .mp4 เป็นส่วนใหญ่นะครับ กล้องบางรุ่นอาจจะเป็น MOV หรือ AVI หรือ mpeg1, mpeg2 ก็แล้วแต่ หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ทั้งหมดหรือเปล่า คือ เมื่อ Import ไฟล์เข้าไปในโปรแรกมแล้ว โปรแกรมฟ้อง Error และกากบาท นั้นบอกเลยว่า โปรแกรมไม่ Support กับไฟล์วีดีโอนั้นๆ (แต่ .mp4, avi, mpeg นั้นได้แน่นอน แต่ .mov นั้นไม่แน่ใจเพราะเป็นไฟล์ของตระกูลแอปเปิลครับ)
           ท่านสามารถย้อนกลับไปอ่านเรื่องของไฟล์วีดีโอหัวข้อเรื่อง รู้จักประเภทของไฟล์ วีดีโอ  ได้ครับ เพื่อความเข้าใจที่ยิ่งขึ้น

เปิดโปรแกรมขึ้นมาเลยครับ แล้วเลือกที่ File --> Import --> Media แล้วก็เลือกไฟล์ในเครื่อง แล้วก็กดปุ่ม OK จบ (ไฟล์วีดีโอก็จะถูกนำเข้ามาในหน้าต่าง Project Media)




เสร็จแล้ว เท่านี้เราก็ลากไฟล์งานลงมาใช้ใน Timeline ได้แล้วละครับ

หรือจะทำอีกวิธีคือ เปิดในหน้าต่าง Exploler แล้วลากลงมาใช้ใน Timeline ได้เลย

ประเภทไฟล์วีดีโอ

ไฟล์ วีดีโอ ประเภทต่างๆ
ไฟล์วีดีโอที่ใช้งานอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการบีบอัดของวีดีโอประเภทนั้น ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติ หรือความละเอียดของภาพต่างๆกันไป นอกจากนั้นเมื่อเราสร้างงานวีดีโอเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการแปลงงานออกมาให้เป็นไฟล์วีดีโอ ซึ่งหากเราทำความเข้าใจกับประเภทของไฟล์วีดีโอต่างๆได้ดี ก็จะสามารถเลือกไฟล์วีดีโอที่ต้องการนำเสนอในงานต่างๆได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะมีดังนี้

AVI (Audio Video Interactive)
เป็นไฟล์วีดีโอมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ทั่วไป (ใน Mac จะมีไฟล์มาตรฐานเป็น MOV) ซึ่งไฟล์วีดีโอแบบ AVI นี้จะมีการบีบอัดข้อมูลน้อย ทำให้ภาพและเสียงคมชัด แต่ไฟล์วีดีโอจะมีขนาดใหญ่มา โดยขนาดของไฟล์วีดีโจะขึ้นอยู่กับการกำหนดของเรา หรือเครื่องมือในการจับภาพวีดีโอ

DV (Digital Video)
ในกรณีที่เราใช้กล้องดิจิตอลวีดีโอ เช่น Digital 8 หรือ MiniDV แล้วจับภาพวีดีโอเข้ามา ซึ่งไฟล์ DV นี้จะมีนามสกุลเป็น AVI เช่นเดียวกัน แต่จะมีการกำหนดของขนาดความละเอียดของภาพ เท่ากับ  720x576 พิกเซล และอัตราการส่งข้อมูล (Bit rate) = 3600 Kb/s ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่มาก เหมาะสำหรับเก็บเป็นไฟล์ต้นฉบับมากกว่า เพราะจะทำให้ได้ภาพที่คมชัดมาสร้างเป็นงานในรูปแบบอื่นๆ เช่น วีซีดี หรือ ดีวีดี เป็นต้น

MPEG
เป็นฟอแมตไฟล์วีดีโอที่ถูกบีบอัด ที่ได้รับความนิยมที่สุด เนื่องจากมีขนาดเล็กและมีคุณภาพหลากหลายตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงคมชัดในระดับที่พอใช้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้

 MPEG - 1 เป็นไฟล์วีดีโอที่เหมาะสำหรับใช้เป็นไฟล์พื้นฐานที่จะนำไปสร้างเป็นแผ่นภาพยนต์วีซีดี มีความละเอียดปานกลาง

 MPEG - 2 เป็นไฟล์วีดีโอที่มีคุณภาพสูง มีความคมชัดของภาพในระดับดี เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นต้นฉบับสำหรับสร้างแผ่นภาพยนต์ดีวีดี เพราะภาพคมชัดสูง

MPEG - 4 เป็นไฟล์ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีความคมชัดใกล้เคียงกับ DVD แต่ขนาดเล็กกว่ามาก MPEG-4 ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ  "DivX" หรือ "XviD"

WMV (Windows Media Video)
เป็นไฟล์ของไมโครซอฟต์สร้างขึ้น เป็นไฟล์มาตราฐานสำหรับการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows ทุกเวอร์ชั่น สามารถเปิดได้ด้วยโปรแกรม Windows Media Player (สำหรับปัจจุบันมีหลายๆ โปรแกรมที่สามารถเปิดไฟล์ประเภทนี้ได้เช่นกัน)

RM (Streaming RealVideo)
พัฒนาโดยบริษัท Real Network  เป็นไฟล์วีดีโออีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมใช้สำหรับการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า "Streaming" ซึ่งมีความคมชัดของภาพและเสียงค่อนข้างต่ำ เพื่อให้เหมาะสำหรับการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันใช้ไฟล์ FLV เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตแทนแล้ว

MOV
เป็นไฟล์วีดีโอที่ใช้ร่วมกับโปรแกรม quicktime ผลิตเพื่อใช้กับเครื่อง Apple เป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้ร่วมกับ Windows ได้ด้วยเช่นกัน

DivX
ไฟล์วีดีโดรูปแบบใหม่ที่นิยมใช้งานกันมาก เนื่องจากมีคุณภาพสูงในขณะที่ไฟล์มีขนาดเล็กลง เรียกว่าคุณภาพระดับ DVD เลย เป็นไฟล์ประเภทเดียวกับ MPEG-4

XviD

ไฟล์วีดีโอมีความใกล้เคียงกับ DixV แต่เนื่องจากเป็นไฟล์ประเภท Open Source (ฟรีในการใช้งาน และพัฒนาต่อ)

การทำงานกับ Bin ใน Project Media

การทำงานกับ Bin ใน Project Media
ก่อนที่เราจะทำการตัดต่อวีดีโอนั้น การสร้าง Bin ก็จะคล้ายกับการสร้างโฟลเดอร์ย่อยๆ ในโปรแกรมนั่นเอง โดยมีความสำคัญหรือจำเป็นคือ การแยกหมวดไฟล์วีดีโอ การแยกหมวดเสียง การแยกหมวดรูปภาพ ทำให้เราค้นหาหมวดไฟล์ต่างๆได้ง่ายขึ้น หากมีการแยกหมวดไว้แต่ละหมวด 
สำหรับการสร้าง Bin เพื่อจัดหมวดหมู่สามารถทำได้ดังนี้
การสร้าง Bin ใน Project Media
ในหน้าต่างของ Project Media คลิ๊กขวาที่ Media Bin แล้วเลือก Create New Bin แล้วทำการตั้งชื่อ Bin เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ



เราสามารถสร้าง Bin ได้หลายๆ Bin ดังนี้



การลบ Bin ใน Project Media

ในส่วนของการลบ Bin ใน Project Media ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่เลือกที่ Bin ที่ต้องการลบให้เป็นแท้บสิน้ำเงิน แล้วกดปุ่ม Delete บนคีย์บอร์ด เป็นอันเรียบร้อยครับ

การทำงานกับแทร็ค

การทำงานกับแทร็ค

แทร็ค (Track) และ ไทมไลน์ (Timeline) เป็นส่วนที่สำคัญที่ใช้ในการตัดต่อวีดีโอและเรียบเรียงลำดับชิ้นงาน โดยการนำคลิปต่างๆมาเรียงต่อกัน เพื่อให้ได้ชิ้นงานตามที่เราต้องการ รวมทั้งการจัดการกับคลิปเสียง การนำเสียงมาใส่ในวีดีโอ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด หรือเสียงเพลงก็ตามแต่ ดังนั้น เรามารู้จักกับการทำงานกับแทร็คก่อนดังนี้

การสร้างแทร็ค

ในโปรแกรม Sony Vegas Pro จะมีแทร็คอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
- Video Track : สำหรับงานตัดต่อที่เกี่ยวกับภาพและข้อความ
- Audio Track : สำหรับงานที่เกี่ยวกับเสียง

เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา จะพบว่าไม่ปรากฏแทร็คใดๆบน Timeline เลย (หรืออาจจะมีก็ได้)  ให้เราลากคลิปวีดีโอลงไปใส่ใน Timeline ก็จะเป็นการสร้างแทร็คโดยอัตโนมัติ





สำหรับงานบางงานหรือบางกรณีที่เราจำเป็นต้องสร้างแทร็คขึ้นมาก่อน เพื่อนำมีเดียอื่นๆ มาวางเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นข้อความ หรือเสียง มาวางซ้อนให้อยู่ในอีกแทร็คนึงต่างหาก เราสามารถเพิ่มแทร็คได้ด้วยวิธีการคลิ๊กขวาที่ Timeline แล้วเลือก 
Insert  Video Track : เป็นการเพิ่มแทร็คภาพ
Insert Audio Track  : เป็นการเพิ่มแทร็คเสียง
โดยที่เราสามารถเพิ่มได้อย่างไม่จำกัด


การลบแทร็ค

หากเราต้องการที่จะลบแทร็คที่ไม่ต้องการทิ้งไป เราก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการคลิ๊กขวาในแทร็คที่ต้องการจะลบแล้วเลือกคำว่า Delete Track


การคัดลอกแทร็ค

กรณีที่เราต้องการเพิ่มแทร็คที่มีทุกอย่างเหมือนกันทุกประการ เราสามารถคัดลอกแทร็คนั้นได้ทันทีโดยเลือกคำสั่ง Duplicate Track  (ดูในรูปที่ 6 ได้ครับ ด้านบน Delete Track)

การตั้งชื่อแทร็ค

แทร็คที่เราสร้างขึ้นมานั้น เราสามารถตั้งชื่อให้สอดคล้องกับคลิปต่างๆที่อยู่ในแทร็คได้ เช่น ภาพหลัก ข้อความ ฯลฯ การตั้งชื่อแทร็คนั้นให้เราคลิ๊กขวาบนแทร็คที่ต้องการเปลี่ยนชื่อ แล้วเลือกคำสั่ง Rename เปลียนเป็นชื่อแทร็คที่เราต้องการ